เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ม.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมเป็นความจริง แต่เราอยู่กับสมมุติไง สมมุติคือของชั่วคราว มันเป็นจริงอยู่ จะว่ามันไม่จริงเลยมันก็จริงตามสมมุติไง สมมุติว่าเป็นอย่างนั้นๆ สมมุติว่า แล้วมันไม่จริงหรอก แต่ถ้าเราเข้าถึงอริยสัจสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าสัจจะความจริงอันนั้น ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ ถ้าใครเดินตามธรรมวินัยนี้ไว้ ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่ว่าต่อไปว่าศาสนาจะเสื่อมๆ นี้เราพูดกันไปอย่างนั้นว่าศาสนาจะเสื่อม ความจริงมันไม่เสื่อม คนมันเสื่อมจากศาสนา คนมันเสื่อมจากศาสนาเพราะอะไร เพราะดูเมืองไทย เมืองไทยเป็นที่เลื่องลือมาก เป็นพหุสังคม เป็นสังคมที่แบบว่าสมานฉัน เป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข เพราะลัทธิศาสนาต่างๆ เข้ามาในสังคมไทย

นี่ไง สังคมไทยไม่มีการกีดกัน ไม่มีการรังเกียจกัน สิ่งใดเข้าได้หมด แล้วมันก็เป็นวัฒนธรรมมา มันเป็นวัฒนธรรม เรื่องอาหาร อาหารในโลกนี้ สิ่งใดเข้ามาเมืองไทย คนไทยดัดแปลงเป็นอาหารไทยหมดเลย แล้วใครมาท่องเที่ยว มาเมืองไทย มันเป็นสังคม มันเป็นวัฒนธรรมที่ว่าไม่กีดกันใคร ถ้าไม่กีดกัน มันก็เป็นจุดเด่นอันหนึ่ง เป็นจุดเด่นทางโลกไง เป็นจุดเด่นทางโลก ใครๆ ก็อยากจะมาเที่ยวเมืองไทย เพราะเมืองไทยเป็นเมืองที่เปิดกว้าง เมืองไทยเป็นเมืองที่เปิดกว้างเพราะอะไร เพราะเป็นผู้นำ ผู้นำเรามีปัญญานะ เพราะผู้นำ การเปิดกว้างอย่างนี้มันทำให้รักษาชาติรอดมาได้ไง

ถ้ามันมีประเด็น มีการขัดแย้ง เขาย่ำยีทั้งนั้นน่ะ เขาย่ำยีเพราะอะไร เพราะกำปั้นใหญ่ ไอ้เรากำปั้นเล็กจะไปสู้อะไรเขาไม่ได้หรอก มันกำปั้นใหญ่ กำปั้นใหญ่มันก็อยู่ด้วยการทูต อยู่ด้วยการเจรจาการต่างๆ นี่วัฒนธรรมของเรา ทีนี้วัฒนธรรมของเรามันเกิดขึ้นมามันเป็นความดีงาม ดีงาม เพราะมันเป็นเงินเป็นทองนะ ตอนนี้การท่องเที่ยวเป็นเศรษฐกิจโดยหลักของประเทศเลย ใครๆ ก็อยากมาท่องเที่ยวๆ ไอ้นี่มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง นี่ผู้นำที่ดีๆ นะ

แต่ถ้าเวลาเราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ชาติไทยเรา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะว่าพระเจ้าตากฯ พระพุทธยอดฟ้าฯ กู้ชาติมาๆ เพื่อถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าถือกันว่าประเทศไทยเป็นประเทศพุทธ เพราะว่ากษัตริย์ยกแผ่นดินนี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะเราเป็นผู้นำที่ดีผู้นำที่เปิดกว้าง เราไม่ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น ถ้าไม่ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น มันเป็นมรดกทางวัฒนธรรม

แต่ถ้าเอาความจริงๆ มันต้องมีครูบาอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นไป สัจธรรมความจริง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีค่า ศาสนาที่ประเสริฐมาก หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีโอกาสได้นับถือศาสนาพุทธ ไม่มีวาสนานะ มีอำนาจวาสนาเพราะอะไร เพราะเวลานับถือศาสนาพุทธแล้วมีศีลมีธรรม เพราะมีศีลมีธรรมมันต้องบังคับตัวเองไง

เวลาลัทธิศาสนาอื่นเอาแต่ความชอบใจ เอาแต่ความพอใจของตัว เวลาถ้าการฆ่าเป็นอาหารไม่เป็นบาป แล้วทำสิ่งใดมันมีช่องออกหมด มันมีทางออก แต่ถ้าพระพุทธศาสนานะ หมด ศีลตายตัว เวลาปาณาติปาตาฯ ทำร้ายกัน ทำลายกัน แม้แต่การถากถางกัน อันนี้ก็เป็นอกุศลธรรมทั้งนั้นล่ะ มันเป็นอกุศลทั้งนั้น ถ้าเป็นอกุศลทั้งนั้น แต่ทำคุณงามความดีๆ ความดีทางโลก เราทำของเราใช่ไหม ถ้าทำความดีทางโลก มันโดยจริตนิสัยของคน ถ้าคนทำคุณงามความดี จิตใจคนที่ไม่เท่ากัน ก็บอก “คนนี้ทำเกินกว่าเหตุ คนนี้ทำเกินเลยไป” ถ้าทำเกินเลยไป เราก็มาบวชเป็นพระ

บวชเป็นพระแล้ว ถ้าเป็นพระขึ้นมา คนที่จิตใจไม่มั่นคง บวชเป็นพระแล้วเวลาศึกษาแล้ว ปฏิบัติแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย ถึงที่สุดแล้วไม่ทำไม่ได้ ศาสนาคงไม่มีความจริง แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านเอาจริงเอาจัง บวชเป็นพระแล้วประพฤติปฏิบัติแยกตัวออกไป แยกตัวออกไปอยู่ตามวิเวกสงัดของผู้ที่มีอำนาจวาสนา ผู้ที่มีอำนาจวาสนา เพราะเขาจะดูแลใจของเขา ถ้าดูแลใจของเขา ย้อนกลับมาที่ใจของตน ย้อนกลับมาที่ใจของตน ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้ามีศีล เวลาสังคม ทุกศาสนาเขาก็มีศีลเหมือนกัน ทุกศาสนาเขามีการภาวนาเหมือนกัน ทุกศาสนาเขาทำสมาธิเหมือนกัน สัมมาสมาธิเขาใช้สมาธิอย่างไร เขาใช้เป็นหรือใช้ไม่เป็นล่ะ ถ้าเขาใช้ไม่เป็น เขาใช้ทางโลก มันเป็นฌานโลกีย์ ระลึกอดีตชาติได้ ความรู้เรื่องนรกสวรรค์ ความรู้ต่างๆ มันเป็นผลของวัฏฏะ มันมีของมันอยู่ไง มันจินตนาการได้ มันจินตนาการได้ มันนึกเอาได้

แต่ถ้าเป็นความจริง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาๆ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันมีศีล ศีลเป็นอย่างไร ถ้าศีล ศีลเป็นความจริงไหม แล้วถ้ามีสมาธิ สมาธิ ทุกศาสนาเขาปฏิบัติๆ แล้วสมาธิเขาใช้อย่างไร สมาธิเขาเอามาทำอะไร

ถ้าเป็นพระพุทธศาสนา นั่นน่ะมิจฉาทั้งนั้นเลย มิจฉาเพราะอะไร เพราะมันใช้ผิด ถ้าใช้ถูกล่ะ ถ้าใช้ถูก ถ้ามีสติ มีสติ คนที่ควบคุมสมาธิ ถ้ามันจะส่งออก มันจะไปรู้สิ่งต่างๆ เรามีสติยับยั้งไว้มันก็จบ เพราะเรามีความสุข เรามีความสุข เราเหนือโลก เราเหนือสงสาร จิตของเรามันมีค่า แต่ทำไมเราต้องไปรู้นู่นรู้นี่ เป็นขี้ข้าเขาหรือ หลวงตาท่านใช้คำว่า “จิตมันพาดพิง”

ถ้าจิตมันไม่พาดพิงสิ่งใด มันไม่เห็นสิ่งใดเลย ถ้าจิตมันพาดพิง แล้วมันพาดพิง มันพาดพิงเพราะอะไรล่ะ มันพาดพิงเพราะไม่มีสติสัมปชัญญะควบคุมตัวเองได้ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะควบคุมตัวเองได้มันก็พาดพิง มันพาดพิงมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เกิด จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใครที่มีอำนาจวาสนามาทำให้จิตนี้เข้มแข็งมีบารมี ใครจะชักจูงไปสิ่งใดมันไม่เชื่อใครง่ายๆ

ถ้าจิตของคนสร้างอำนาจวาสนาพอประมาณ เกิดเป็นมนุษย์ แต่เป็นสัตว์สังคม ใครเสนอสิ่งใดก็เชื่อเขาไปหมดเลย นี่มันพาดพิง มันพาดพิงถ้ามีสติปัญญา ขนาดมีสติปัญญาทางโลกเขายังรักษาใจเขาได้ แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์นะ เวลาจิตสงบแล้วไปเห็นอะไร ไปรู้อะไร นี่ไง จิตมันพาดพิง ถ้าคำว่า “จิตพาดพิง” จิตมันส่งออก มันไปรู้

แต่ถ้าเป็นความจริง ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติเป็นวิทยาศาสตร์หมด มันเป็นพุทธศาสน์ มันเป็นความจริงเหนือโลก ถ้าเหนือโลก เหนือโลกอย่างไร เหนือโลกเพราะสิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดคือความคิด ความคิดมันคิดไปรอบโลกเลย สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด พุทโธๆ เอาไม่อยู่หรอก เอาไว้ไม่ได้หรอก เอาไว้ได้ก็ไปคิดใหม่ “คิดว่า ปล่อยวาง” มันก็ไปคิดไง เพราะตัวมันเองเป็นไม่ได้ มันไปพาดพิงอย่างนั้น มิจฉาทั้งนั้น

ถ้ามันเป็นสัมมาล่ะ สัมมาทำอย่างไร ถ้าสัมมา ดูสิ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทางอันกว้างขวาง แล้วให้พวกเราก้าวเดินไป ถ้าก้าวเดินไป ถ้าใครก้าวเดินไปถึงเป้าหมายนั้น นั่นเขาพ้นทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ก้าวเดินไป เราไม่ได้ก้าวไป เราศึกษาธรรมะแล้วเราอยากรู้ เรานอนจมอยู่ไง แล้วก็เกี่ยงไง ต้องบอกฉัน ต้องสอนฉัน ต้องพยายามชี้นำให้ฉัน แล้วฉันไม่ก้าวเดินทำอย่างไรล่ะ

มาทำบุญกุศล มาทำบุญกุศล ทำเรื่องโลก คำว่า “เรื่องโลก” โลกียปัญญา เราสามารถทำได้ เรามีสมอง เรามีความคิด เราทำได้หมดล่ะ แต่เวลาทวนกระแสกลับเข้าไป ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้าจิตสงบแล้ว นี่ไง ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ทางเดินของจิต บอกว่า “สัมมาอาชีวะๆ” ทุกคนบอกทำความดีหมดแล้ว ทุกคนทำคุณงามความดีหมดแล้ว แล้วทำคุณงามความดีหมดแล้วทำอย่างไรต่อ นี่ความดีของโลกไง ความดีของโลกก็เกิดตายไง

เราทำดีขนาดไหนนะ มันเป็นอามิส คือคุณงามความดีเรามีการยื่นให้กัน เรามีการดูแลรักษากัน เป็นบุญทั้งนั้นน่ะ เป็นอำนาจวาสนาบารมี แต่ก็ตาย นี่ไง สมมุติๆ โลกไง สมมุติบัญญัติ บัญญัติขึ้นมา บัญญัติคือศีล สมาธิ ปัญญา บัญญัติคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติ ดูสิ เถรวาทเรา ทั่วโลก เวลาสวดมนต์เหมือนกันหมดเลย ใช้ภาษาบาลี มคธเหมือนกัน นี่บัญญัติ บัญญัติให้เป็นภาษาภาษาหนึ่ง นี่ไง สมมุติบัญญัติ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันต้องเป็นความจริงของตน ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้ามีศีลคือความปกติของใจ ถ้าศีลเราไม่ดี มันเกิดนิวรณ์ ศีลไม่ดี มันโลเล มันไม่แน่ใจของมัน แต่ถ้าไม่แน่ใจของมัน มันก็พาดพิง อ่อนแอ นอนจมกับอารมณ์ความรู้สึก แล้วบอกว่าอันนี้เป็นการปฏิบัติ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรานะ นอนจมอย่างนั้นไม่ได้ นักหลบ หลบทุกอย่าง หลบเพื่อให้ตัวเองว่างเปล่า หลบให้ตัวเองมีความว่าง นี่ไง บอกว่า “ทุกศาสนาสอนการภาวนา”

ภาวนาไปไหน ภาวนาไปนอนจมกับกิเลสใช่ไหม พญามาร ครอบครัวของมาร อวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้มันมีต้นขั้วคืออวิชชา แล้วมีลูกมีหลานขึ้นมา มีความโลภ ความโกรธ ความหลงร้อยแปดพันเก้า เรื่องมาร เทพฝ่ายมาร เวลามารมันเกิดขึ้น มันหลอกลวงไปทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าเป็นความจริงล่ะ ถ้าเป็นความจริง เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่มีจิตใจน้ำใจกว้างขวาง ไม่กีดกันสิ่งใดทั้งสิ้น กลับมาเป็นพหุสังคม ลัทธิศาสนาต่างๆ รับได้หมดเลย รับได้หมดเลย แต่เราต้องมีจุดยืนของเราสิ เรามีจุดยืนของเรา

พระเจ้าตากฯ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ กู้ชาติมาเพื่อถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายให้เป็นเมืองพุทธ ถวายเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา นี่พูดถึงกู้ชาติมาถวายพระพุทธเจ้านะ แล้วหัวใจเราล่ะ

เราเกิดมาเป็นคน ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันจะเห็นใจของเรา ถ้ามีสติมีปัญญา มันจะเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ เพราะคำว่า “สัมมาสมาธิ” คือมีสติใช่ไหม สติ ยกจิต ยกจิตคือรำพึง มันควบคุมจิตได้ไง แม้แต่สมาธิ พวกเราเจอสมาธิแล้ว โอ้โฮ! สมาธิมันสุขมาก สมาธิมันว่างมาก สมาธิ นี่ฝึกให้ชำนาญ พอฝึกให้ชำนาญขึ้นมาแล้วจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่น เราใช้จิต จิตนี้จะก้าวเดินไปสู่อริยสัจ จิตนี้จะก้าวเดินไปสู่อริยมรรค จิตนี้ก้าวเดินอยู่ ธรรมและวินัยให้จิตก้าวเดิน จิตฝึกหัดไง กิจจญาณไง มีการกระทำ มีการฝึกฝนของจิตนี้ไง ถ้าจิตมันฝึกฝนขึ้นมามันจะเห็นมรรค เห็นมรรคขึ้นมา เพราะเวลาปัญญา ถ้ามันเป็นมรรคขึ้นมา เรามีศีล มีสมาธิ ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจิต

ขณะที่เป็นสมาธิ ทุกคนเป็นสมาธิใหม่ๆ ก็ทึ่งอยู่แล้ว แต่ถ้ามันเป็นปัญญา ปัญญาที่เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่คาดการณ์คาดหมายไม่ได้ทั้งสิ้น แม้แต่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันเกิดขึ้นแล้วมันสดๆ ร้อนๆ ไง เวลาเป็นสมาธิ ชื่อของสมาธิเป็นอย่างหนึ่ง เป็นสมาธิความเป็นจริงอีกอย่างหนึ่ง

เวลาปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสมอง ปัญญาที่โลกียปัญญา ปัญญาที่มีความชำนาญมาก ปัญญาที่มีความคิดรู้สึกมาก ปัญญาที่กว้างขวางมาก นี่ปัญญากิเลสทั้งนั้นเลย เพราะมันเกิดจากอวิชชา เกิดจากความรู้สึกของเรา แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วๆ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา เราคาดหมายสิ่งใดไม่ได้เลย มันเป็นปัจจุบัน เราคาดหมายไม่ได้

ถ้ามีการคาดหมาย ใครที่ภาวนาแล้ว ภาวนาดีมาก ใช้ปัญญาแล้วปัญญาพิจารณาไปแล้วมันปล่อยวาง มันปล่อยวางขึ้นมาแล้ว เราปฏิบัติครั้งต่อไปมันคาดหมายแล้ว “เอาอย่างนี้ จะเอาอย่างนี้”

เอาอย่างนี้ก็เซเว่นไง เข้าไปในเซเว่นแล้วดึงเอาเลย แต่ถ้าเป็นจริง เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่แล้วคือแล้วกันไป สิ่งที่ทำได้แล้วก็เป็นประสบการณ์ของเรา เป็นปัจจัตตังของเรา แต่ถ้ามันเกิด มันเกิดปัจจุบันทั้งนั้นน่ะ นี่ไง ถนนหนทางที่ให้จิตนี้ก้าวเดินไป ถ้ามันก้าวเดินของมัน มันพิจารณาของมันไป มันจะรู้ของมัน ถ้ารู้ของมัน

คำว่า “ปัญญามันเกิด” ถ้าปัญญามันเกิด มันเหมือนสมาธิ สมาธิที่ปฏิบัติเริ่มต้น ทำเริ่มต้น ใครเป็นสมาธิใหม่ๆ โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ มันมีคุณค่ามาก แต่พอมันคลายออกแล้วเราจะทำสมาธิขึ้นมาได้อย่างไรให้มันได้อีก ทำได้ยากมาก แต่เราก็พยายามฝึกฝนๆ จนมีความชำนาญ มีความชำนาญแล้วเรารำพึงไปให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความจริง นี่เห็นอริยสัจ การปฏิบัติโดยสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง

พอมันเห็นของมันเป็นความจริง เวลาปฏิบัติแล้วมันใช้ปัญญาไปแล้ว การกระทำไปแล้วมันก็ต้องผ่อนคลายออกมาเป็นธรรมดา แล้วจะเริ่มต้น จะเริ่มต้นอย่างไร จับพลัดจับผลู ไปตรงนี้ไปไม่ถูก ไปไม่ได้ ไปไม่เป็น

ถ้ามันไปเป็น พอคนไปเป็น จับแล้วพิจารณาไปแล้ว กำลังของสมาธิมันดี มีสติปัญญาที่ควบคุมเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงาม พอมันพิจารณามันไป ปัญญามันเริ่มไปตาม ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ปัญญาที่เกิดจากจิต มันพิจารณาของมันไป มันหมุนติ้วๆๆ ทำไมปัญญามันหมุนติ้วๆ เรายังดูปัญญาเรามันหมุนติ้วๆๆ หมุนอยู่นั่นล่ะ

ครูบาอาจารย์ที่ภาวนาเป็นของท่าน ท่านบอก โอ้โฮ! เวลาปัญญามันเคลื่อนไป นี่พูดถึงปัญญาเริ่มต้นนะ แล้วปัญญาปฏิบัติต่อเนื่องไปๆ ไปมหาสติ-มหาปัญญา ท่านบอกเหมือนน้ำป่ามันซัดๆ มา มันพรั่งพรูมา เหมือนเราไปอยู่ในกลางทะเลบ้า กลางทะเลบ้านั่นน่ะ ดูสิ ดูคลื่นลมมันแรงขนาดนั้น แล้วเราต้องอยู่ท่ามกลางอย่างนั้น เราจะบริหารจัดการอย่างไร นี่ไง มหาสติ-มหาปัญญามันจะบริหารจัดการอย่างนั้นได้ บริหารปัญญาอย่างนั้นได้ ถ้าบริหารปัญญาอย่างนั้น นี่พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสำคัญ มันสำคัญตรงนี้ไง สำคัญตรงสัจจะความจริงไง สัจจะความจริงที่เกิดขึ้น แล้วมันมีครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติแล้วมันทรงคุณธรรมอันนั้นไว้ได้ไง ถ้าทรงคุณธรรมอันนั้นได้

สิ่งที่พหุสังคม ศาสนสัมพันธ์ ลัทธิศาสนาที่เข้ามาเผยแผ่ในเมืองไทย เราเปิดกว้างเพราะอะไร เราเปิดกว้างเพราะว่ามันเป็นสิทธิ์ สิทธิ์ความเป็นมนุษย์ มนุษย์จะคิดอย่างไรก็ได้ เราเคารพความรู้สึกความนึกคิดนะ เราเคารพกันทั้งนั้นน่ะ แต่ความจริงของเราล่ะ

ถ้าความจริงของเรานะ เราเคารพเขา เราเคารพเพราะว่าเป็นสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์ ถ้าเรารอนสิทธิ์ เรามีกระทบกระทั่งกันมันก็ไม่ใช่การอภัยทาน ไม่ใช่พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเปิดเลย เพราะอะไร เพราะพระพุทธศาสนามีความจริงว่ามีคุณธรรม มีสัจจะความจริง เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิญาณตั้งแต่ปัญจวัคคีย์

“ปัญจวัคคีย์จงเงี่ยหูลงฟัง ถ้าเราไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ เดี๋ยวนี้เรารู้แล้ว” แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมอยู่ เวลาเช้าออกบิณฑบาต มีเวลาว่างอยู่จะไปแวะกับพวกเดียรถีย์ นิครนถ์ ศาสนาในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไปคุยธรรมะกัน โต้แย้งมาตลอด แล้วไม่มีใครจะยืนขวางหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์

พอคำว่า “เป็นพระอรหันต์” มันมีคนตรวจสอบไง เป็นอย่างไร ทำไมถึงเป็น เป็นเพราะอะไร แต่ในลัทธิศาสนาอื่นไม่มีศาสดาองค์ใดปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ไม่มี ทำเสร็จแล้วต้องให้พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา

ความดีความชั่วของเราต้องให้คนอื่นพิพากษาหรือ แล้วถ้าเขาพิพากษา เห็นไหม ล้างบาป ถึงเวลาแล้วก็เข้าโบสถ์ล้างบาป บาปนี้ล้างได้หรือ ล้างไม่ได้หรอก มันล้างไม่ได้หรอก แต่เขาเชื่อกันได้อย่างไรล่ะ นี่พูดถึงความเชื่อก็เชื่อของเขา เราเคารพความเชื่อเขา เขามีความเชื่ออย่างนั้น เขาเชื่อกันอย่างนั้นก็เรื่องก็เรื่องของเขา แต่เวลาพูดกัน เวลาพูดกันว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี...ใช่ ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี แล้วดีถึงที่ไหน ดีถึงที่สุดไหมล่ะ

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีองค์เดียวเท่านั้น ลัทธิศาสนาอื่นไม่กล้าพูด ถ้ามีการพูดแล้วมันต้องมีการไต่ถาม มีการตรวจสอบ “นี่ไม่ใช่ นี่เป็นตัวแทน ตัวแทนที่จะส่งไปเท่านั้น เป็นผู้ส่งผ่าน”

นี่พูดถึงพหุสังคมนะ เราเปิดรับทั้งนั้นน่ะ แต่เราต้องมีจุดยืนของเราไง แต่ แต่เยอะมาก แต่เพราะพวกเรา เราปฏิบัติหรือเปล่า เรามีจุดยืนหรือเปล่า แล้วมันสังคมด้วย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้นะ ศาสนานี้ฝากไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ฝากไว้กับภิกษุด้วย ภิกษุณีด้วย อุบาสกด้วย อุบาสิกาด้วย เราเป็นเจ้าของศาสนาทั้งนั้น เหมือนกับพ่อแม่ให้พินัยกรรมไว้ ให้มรดกไว้ แล้วเราต้องค้นคว้าหามรดกของเราเอง แล้วเราจะปกป้องมรดกของเราเอง

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง กล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน”

“เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง” เข้มแข็งที่ไหนล่ะ? เข้มแข็งที่ปัญญา เข้มแข็งด้วยความรู้ความเห็นของเรา แล้วเรามีจุดยืนไง ใครจะพึ่งพาอาศัย ยอมรับทั้งนั้นน่ะ แต่เรามีจุดยืนของเรา เรามีความมั่นคงของเรา มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมันมีมิจฉากับสัมมา

มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด ความเห็นมันออกนอกเรื่องนอกราว ถนนหนทาง ถนนที่กว้างขวางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราก้าวเดินไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่เราเดินไปแล้ว เฮ้ย! สายอื่นมันก็ดี สายนู้นมันก็น่าไป มันก็เริ่มต้นตลอดแล้วไปไม่ถึงที่ไหนเลย

แต่ถ้าพิสูจน์ได้ ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันไว้เลย นี้มันเป็นที่เรา ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เราไม่จริง แล้วถ้าไม่จริง เราปฏิบัติไปแล้วไม่สมควรแก่ธรรมไง มิจฉาไง ความเห็นผิดไง อ้าว! ๗ วันแล้ว ๗ เดือนแล้ว ๗ ปีแล้ว แล้วเราทำอะไรอยู่ นอนไง นอนให้มันครบ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี แล้วเอานิพพานมา ก็เอาสิ พานแว่นฟ้า ไปเอานู่น เพราะความเห็นของคนไง

นี่พูดถึงเวลาถ้าความเห็นของเรามันถูกต้องดีงามนะ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา กรองเอา เป็นสิทธิ์นะ ทุกคนมีสิทธิคิดได้ เป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล เพราะมันอยู่ในใจ ใครไปห้ามใครไม่ได้หรอก เป็นสิทธิ์ แต่เราต้องใช้สติปัญญาของเราใคร่ครวญของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับชีวิตนี้นะ

ชีวิตนี้ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ตายแน่นอน แล้วชาตินี้เกิดมาแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราจะได้อะไรติดไม้ติดมือไป ทำบุญกุศลนี่ได้ ได้อามิส เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชื่อเรื่องของกรรม การกระทำ ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น แล้วพระเราประพฤติปฏิบัติ เพราะอะไร เพราะเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะพ้นจากทุกข์มา ไปดูความเพียรของท่านสิ

หลวงตาท่านพูดถึงการกระทำของท่านท่านบอกว่า คิดย้อนกลับไปแล้วเสียว คิดย้อนกลับไป เพราะตอนนั้นเป็นหนุ่มเป็นแน่น แล้วมันกำลังฮึด ทำได้หมดล่ะ แต่พอแก่เฒ่าขึ้นมาแล้ว โอ้โฮ !ทำได้ขนาดนั้นเชียวหรือ แต่ทำมาแล้ว

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำมาแล้ว ท่านทำจริงทำจังของท่าน ท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน แล้วยืนยัน ยืนยันว่า พระพุทธศาสนา มรรคผลมี เอวัง